กฎหมายศุลกากรเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยวิธีจัด และ ปฏิบัติการของกรมศุลกากรได้มีการประกาศใช้ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2469 และแก้ไขเพิ่มเติมหลายครั้งหลายคราวจนถึงฉบับปี พ.ศ. 2548 ใช้ระยะเวลาประมาณ 79 ปี พัฒนาการของกฎหมายศุลกากรก็เป็นไปตามกระแสเศรษฐกิจและเหตุการณ์ทางการเมืองของแต่ละยุคแต่ละสมัย ในทางทฤษฎีสังคมสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่
1. ระยะเกษตรกรรม (ก่อน พ.ศ. 2469 – 2494) หลังสนธิสัญญาบาวนิ่ง พ.ศ. 2398
2. ระยะเปลี่ยนแปลง (พ.ศ. 2494 – 2504) ผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า
3. ระยะพัฒนาสู่ความสมดุล (พ.ศ. 2504 – 2514)
4. ระยะพุ่งตัว (Take - off) ของผลผลิตนอกสาขาเกษตร (พ.ศ. 2514 เป็นต้นไป) ผลิตเพื่อการส่งออก
2.1 ระยะเกษตรกรรม (ก่อน พ.ศ. 2469 – 2494)
เหตุการณ์ทางศุลกากรได้เริ่มตั้งแต่การยกร่างกฎหมายศุลกากรในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2453 - 2468) ที่เรียกว่า Trade and Customs Regulations 128 หลังจากนั้นได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ช่วง พ.ศ. 2457- 2461 จนถึงช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468 - 2477) จึงได้มีการประกาศใช้กฎหมายศุลกากรครั้งแรกในปี พ.ศ. 2469 โดยมีบันทึกหลักการและเหตุผลจะเห็นได้จากวรรคที่สองว่า “โดยที่ทรงพระราชดำริเห็นว่า วิธีจัด และ ปฏิบัติการของกรมศุลกากรนั้น สมควรจะกำหนดลงไว้ให้เป็นระเบียบสืบไป” ซึ่งเป็นผลพวงจากการเปิดประเทศที่ต้องการค้าขายทางทะเลกับชาวต่างชาติ เนื้อหาของฉบับแรกจึงว่าด้วยการค้าทางทะเล หากจะมีการค้าข้ามแดนทางบกหรือทางอากาศก็จะให้นำไปใช้โดยอนุโลม ในช่วงของรัชกาลที่ 7 นี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายศุลกากร 4 ครั้งคือ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2471, ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2472, ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2474 และฉบับที่ 4 พ.ศ. 2475 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการแก้ไขในรายละเอียดปลีกย่อย
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยคณะราษฎรได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และได้ประกาศใช้ พ.ร.บ. ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 จนถึงช่วงของรัฐบาลพันเอกพระยาพหล พลพยุหเสนา (พ.ศ. 2476 - 2481) ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายศุลกากรถึง 3 ฉบับกล่าวคือ ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2479 (นับรวมฉบับ พ.ศ. 2469 ด้วยจึงทำให้ฉบับที่ 5 ไม่มี) แก้ไขความหมายพนักงานศุลกากร, ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2480 ว่าด้วยการนำของเข้าหรือส่งของออกทางบก และฉบับที่ 8 พ.ศ. 2480 ว่าด้วยการนำของเข้าและส่งของออกทางอากาศยาน
จนถึงช่วงของรัฐบาลพันเอกหลวงพิบูลสงคราม (พ.ศ. 2481 - 2485) ได้มีการแก้ไขอีก 2 ฉบับคือ
- ฉบับที่ 9 พ.ศ. 2482 ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในมาตราที่สำคัญโดยเฉพาะได้แก่ มาตรา 16 การกระทำโดยมิพักต้องคำนึงว่าผู้กระทำมีเจตนาหรือกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ทั้งนี้ เป็นผลพวงมาจากคดีที่กรมศุลกากรแพ้อันเนื่องมาจากศาลได้พิพากษาให้การกระทำตามมาตรา99 ต้องมีเจตนาด้วย (คำพิพากษาฎีกาที่ 581/2481), มาตรา 17 กำหนดให้ริบของใด ๆ อันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2469, มาตรา 19 ว่าด้วยของ Re-export ให้คืนอากร 7 ใน 8 ส่วน
- ฉบับที่ 10 พ.ศ. 2483 เป็นการแก้ไขมาตรา 88 ด้วยคลังสินค้าและมาตรา 122 ว่าด้วยการออกกฎกระทรวง ในช่วงสมัยรัฐบาลนี้ได้เกิดสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส (พ.ศ. 2483 - 2484) ทำให้ลัทธิชาตินิยมแพร่หลายมากขึ้น ญี่ปุ่นได้เข้ามาไกล่เกลี่ยและลงนามในอนุสัญญาสันติภาพเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2488
ในปี พ.ศ. 2485 – 2488 เป็นช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสงครามจนถึงปี พ.ศ. 2490 ได้มีการแก้ไขกฎหมายศุลกากร ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2490 เป็นการแก้ไขอัตราโทษตามมาตรา 27 ซึ่งเป็นสมัยของรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (พ.ศ. 2489 - 2490)
2.2 ระยะเปลี่ยนแปลง (พ.ศ. 2494 – 2504) ผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า
2.3 ระยะพัฒนาสู่ความสมดุล (พ.ศ. 2504 – 2514)
2.4 ระยะพุ่งตัว (Take - off) ของผลผลิตนอกสาขาเกษตร (พ.ศ. 2514 เป็นต้นไป)
ในช่วงปี พ.ศ. 2520 – 2529 เหตุการณ์ทางการเมืองเป็นช่วงของแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2520 - 2524 ที่ยังคงเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยมุ่งขยายการผลิตสาขาเกษตร ปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออก และฉบับที่ 5 พ.ศ. 2525 – 2529 เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น ปรับโครงสร้างการเกษตร ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกและกระจายอุตสาหกรรมไปสู่ส่วนภูมิภาค ส่วนเหตุการณ์ทางศุลกากรได้มีการออก พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 พ.ศ. 2528 (พลเอกเปรม ติณสูลานนท์, พ.ศ. 2523 - 2531) เนื่องจากได้มีการปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากร โดยออกเป็น พ.ร.ก. พิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ 45) พ.ศ. 2528 แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายศุลกากรเพื่อให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยอากรศุลกากรในทำนองเดียวกับคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร เพื่อให้การพิจารณาดำเนินการจัดเก็บภาษีอากรมีประสิทธิภาพและเกิดความเป็นธรรมยิ่งขึ้น
ในระยะพุ่งตัวของผลผลิตนอกสาขาเกษตรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 เป็นต้นมานั้นเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากภาคเกษตรกรรมมาเป็นภาคอุตสาหกรรม จนถึงปี พ.ศ. 2529 เศรษฐกิจของประเทศไทยไปผูกพันกับเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มตัวเริ่มขึ้นลงตามกระแสโลกาภิวัตฒน์ (Globalization) การค้าระหว่างประเทศไร้พรมแดน อิทธิพลของบริษัทข้ามชาติและการรวมกลุ่มเศรษฐกิจตามภูมิภาคต่าง ๆ
(1) ยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟู (พ.ศ. 2529 - 2533) สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดที่เรียกว่า ยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟูเป็นช่วงรอยต่อของแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 5 และฉบับที่ 6 พ.ศ.2530 - 2534 เน้นวัตถุประสงค์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ตรงกับรัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน (พ.ศ. 2531 - 2534)
(2) ยุคเศรษฐกิจชะลอตัว ( พ.ศ. 2534 -2539) เป็นช่วงใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2535 – 2539 เริ่มมองเห็นความจำเป็นในการกำหนดแนวความคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ในสมัยรัฐบาลของนายอานันท์ ปันยารชุน (พ.ศ. 2534 - 2535) มีการตื่นตัวในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นพิษจากการนำสินค้าจำพวกเคมีภัณฑ์ สิ่งมีพิษ หรือสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างอื่น เข้ามาในประเทศและปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นของตกค้าง จึงได้แก้ไขโดยการออก พ.ร.บ. ศุลกากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2534 เพิ่มมาตรา 6(6) กำหนดประเภทของสินค้าอันตราย, มาตรา 61 วิธีดำเนินการกับสินค้าอันตรายที่ตกค้าง และเพิ่มมาตรา 63 ทวิ สั่งให้ตัวแทนเรือนำสินค้าอันตรายกลับออกไป
(3) ยุคกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF พ.ศ. 2540 – 2542) เริ่มตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2540 – 2544 ปรับแนวคิดการพัฒนาจากเดิมที่เน้นเศรษฐกิจมาเป็นการเน้นคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา ในสมัยของรัฐบาลนายชวน หลีกภัย (พ.ศ. 2535 – 2543) ได้มีการแก้ไขกฎหมายศุลกากรถึง 4 ฉบับ
- พ.ร.บ. ศุลกากร (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2540 กำหนดการสอบสวนความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรที่เกิดในทะเลอาณาเขต และเนื่องจากได้มีประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย จึงได้กำหนดการใช้อำนาจทางศุลกากรในเขตต่อเนื่องให้ชัดเจน
- พ.ร.บ. ศุลกากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2542 กำหนดความผิดสำหรับการขนถ่ายสิ่งของใด ๆ ในทะเลนอกเขตท่าเป็นมาตรา 37จัตวา เพิ่มอำนาจของศาลในการริบเรือที่มีขนาดเกินสองร้อยห้าสิบตันเป็นมาตรา 32 วรรค 2 และของที่มิได้เป็นของผู้กระทำความผิดในบางกรณีตามาตรา32 ทวิ
- พ.ร.บ. ศุลกากร (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2543 เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 7 ของความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า ค.ศ.1994 จึงต้องยกเลิกการใช้ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเป็นเกณฑ์ประเมินเงินอากรสำหรับของนำเข้าโดยให้ใช้ราคาศุลกากรแทน กำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และกระบวนการในการพิจารณาอุทธรณ์ รวมทั้งการกำหนดให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำของเข้าหรือส่งของออก มีหน้าที่เก็บรักษาบัญชี เอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการนำของเข้าหรือส่งของออกเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ
- พ.ร.บ. ศุลกากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2543 การค้าขายระหว่างประเทศได้มีการแข่งขันกันอย่างมาก การสนับสนุนและส่งเสริมการส่งออกจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นการเพิ่มขีดความ สามารถในการแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ จึงกำหนดให้มีการจัดตั้งเขตปลอดอากรขึ้นในประเทศไทย เพื่อผลิตผสม ประกอบ บรรจุหรือดำเนินการอื่นใดกับสินค้านั้นเพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
- สำหรับในปี 2548 ซึ่งเป็นยุคของรัฐบาล พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้มีการแก้ไขอีก 2 ฉบับ ได้แก่
(1) พ.ร.บ. ศุลกากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2548 สาระสำคัญเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมโทษปรับให้สูงขึ้น
(2) พ.ร.บ. ศุลกากร (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2548 เพิ่มหมวด 4 ตรี ว่าด้วยอำนาจทางศุลกากรในพื้นที่พัฒนาร่วม เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทย ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 และในความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งมาเลเซียว่าด้วยธรรมนูญและเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดตั้งองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ลงวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ซึ่งรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบแล้วเพื่อให้การปฏิบัติการเป็นไปตามบันทึกความเข้าใจและความตกลงดังกล่าวในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจทางศุลกากร จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[6] ได้ให้สัตยาบันเมื่อปี พ.ศ. 2511 และประกาศใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1958 เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2512 รวม 4 ฉบับคือ (1) อนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง (2) อนุสัญญาว่าด้วยทะเลหลวง (3) อนุสัญญาว่าด้วยการประมงและการอนุรักษ์ทรัพยากรมีชีวิตในทะเลหลวง (4) อนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งมีผลใช้บังคับสำหรับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2511 เป็นต้นไป
หมายเหตุ ดูปฏิทินลำดับกฎหมายศุลกากรเพิ่มเติม
© ดร.สงบ สิทธิเดช (Dr.Sangob Sittidech, Update March 27, 2016)